เวลาที่เราได้ทำบุญใดๆ แล้วหากมีคนเห็นการกระทำดีของเราแล้วเขากล่าว “สาธุ” ด้วยความศรัทธาด้วยความปีติยินดี
นี่คือบุญในรูปแบบของการโมทนาบุญเอาจากการเห็นผู้อื่นทำความดี
บุญนั้นมีความมหัศจรรย์มากในเรื่องการสร้างบุญ เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า ทำบุญเองก็ย่อมได้บุญ ชวนผู้อื่นทำบุญก็ไ
ด้บุญ แต่บางคนแม้จะไม่ได้สละทรัพย์เป็นเจ้าของวัตถุทาน ไม่ได้เป็นผู้ถวายทานด้วยมือ อีกทั้งไม่ได้อยู่ร่วมในกา
รให้ทานกับเขาด้วย แต่มารู้ทีหลังว่าคนอื่นเขาให้ทาน รู้แล้วก็รู้สึกยินดีเลื่อมใสไปกับเขา บุคคลนั้นก็จะพลอยได้
รับผลของบุญด้วยอย่างน่าอัศจรรย์
พระอนุรุทธะเถระถามเทพธิดาเจ้าของวิมานนั้นว่าเธอทำบุญด้วยอะไร ทิพย์สมบัติอันมากมายนี้จึงเกิดขึ้นแก่
เธอ นางเทพธิดาตอบพระอนุรุทธะว่า
” ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ดิฉันเป็นเพื่อนของนางวิสาขามหาอุบาสิกาเจ้าค่ะ เมื่อเพื่อนของดิฉันสละทรัพย์ถึง 27 โกฏิ
(270 ล้าน) สร้างวัดบุพพารามมหาวิหาร เธอชวนดิฉันและเพื่อนๆ อีก 500 คน ไปเที่ยวชมปราสาทวัดบุพพาราม ดิฉัน
ได้เห็นปราสาทที่เธอสร้างถวายพระภิกษุสงฆ์ที่ดิฉันเคารพ ดิฉันเลื่อมใสในบุญของเธอ จึงอนุโมทนาบุญกับ
เธอว่า “สาธุ สาธุ สาธุ”
บารมีของพระโพธิสัตว์เจ้าหรือพระอริยสงฆ์ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยแล้วก็จะยิ่งก่อเกิดผลบุญมหาศาล ผู้ที่เป็นตัว
อย่างในกรณีนี้ก็คือ พระนางพิมพา ผู้ที่บำเพ็ญบารมีควบคู่มากับพระพุทธเจ้านั่นเอง เราทราบกันดีว่า พระโพธิ
สัตว์นั้นบำเพ็ญบารมียิ่งยวดมากแค่ไหนจึงได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พระนางพิมพาเล่า สามารถติ
ดตามบุญและมีส่วนได้บุญกับพระพุทธองค์มาตลอดได้อย่างไร
เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปเยี่ยมพระนางพิมพาที่ตำหนัก พระพุทธองค์ก็รู้อยู่ว่าเข้าไปในถึงตำหนักของ พระนางพิมพ
าแล้ว พระนางพิมพาจะอาศัยความรักที่มีอยู่เดิมเข้ามากอดขาของพระองค์ พระองค์จึงได้บอก พระโมคคัลลานะ กับ
พระสารีบุตร ก่อนจะเข้าไปว่า
จะไม่มีโอกาสได้ผลของความดีใดๆ”พระสารีบุตรจึงถามว่าเพราะเหตุใด พระพุทธองค์จึงตรัสตอบว่า
” ทั้งนี้เพราะว่า พระนางพิมพา ไม่เคยบำเพ็ญบารมีด้วยตนเองเลย พระนางได้แต่โมทนาบุญกับเราเท่านั้น
นับตั้งแต่เริ่มแรกบำเพ็ญบารมีเป็นต้นมา โดยใช้เวลามากถึง 4 อสงไขยกับแสนกัป เป็นคู่บารมีกันมาไม่เคยคลาดกัน”
ในพุทธชาดกและพุทธประวัติ เราเห็นเสมอว่าคนที่ทำบุญสร้างบารมีจริงๆ คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อทำไปแล้วพระนางพิมพา เธอก็บอกยินดีด้วยโดยกล่าวโมทนาสาธุ แม้ครั้งหลังที่มีความสำคัญสุด คือการยก
ลูกทั้งสองให้เป็นทาสของชูชก
ครั้งนั้นพระนางมัทรี (พิมพา) เธอมีความเสียใจสลบไปที่ไม่พบกับลูกชายลูกสาว เมื่อฟื้นขึ้นมาองค์ พระเวสสันด
ร จึงได้บอกเธอว่า เราให้ลูกกับชูชกไป ทั้งนี้เพราะปรารถนาในพระโพธิญาณ ของเธอจงโมทนาด้วยเธอก็ยินดี
โมทนาบุญที่ได้ทำทานนั้นด้วย เป็นอันว่า พระนางพิมพา แม้จะไม่เคยทำบุญเองอย่างยิ่งยวด แต่ได้กระทำเพี
ยงการโมทนาบุญอย่างเดียว กับผู้ที่บำเพ็ญบารมีสูงสุดก็ย่อมได้บุญมากตามไปด้วย
อัตราส่วนบุญที่เกิดจากการโมทนาบุญนั้นเป็นอย่างไรเรื่องนี้เป็นที่สงสัยกันมากว่าการกล่าวโมทนาบุญนั้นจะได้บุ
อานิสงส์ที่จะพึงได้จากการโมทนาบุญนั้นเทียบได้เป็นผลกำไรจากการใช้จิตทำบุญ ไม่ต้องลงทุนเอง ถ้าได้ทำอย่
างตั้งใจจริง ด้วยจิตยินดีอย่างเต็มเปี่ยมในคุณงามความดีที่ผู้อื่นทำก็อาจได้บุญมากถึง 90 เปอร์เซ็นต์
ผู้ที่เป็นเจ้าของบุญหรือผู้ที่กระทำบุญนั้นย่อมได้บุญ 100 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ส่วนผู้ที่ตั้งใจโมทนาบุญก็ได้ไปครั้งละ 90
เปอร์เซ็นต์ หากมีผู้ที่มาทำบุญผ่านไป 10 คน เราก็ได้บุญประมาณ 900 มากกว่าเจ้าของผู้ทำบุญในแต่ละรายเสียอีก
เป็นเคล็ดการทำบารมีให้เต็มเร็วมาก
วิธีการโมทนาบุญที่ถูกต้อง
การโมทนา แปลว่า “ยินดีด้วย” สิ่งสำคัญที่จะให้เกิดบุญสูงสุดคือ ต้องกล่าวคำสาธุยินดีด้วยความจริงใจ หากสักแต่กล่าวว่า สาธุๆๆ
ไปอย่างนั้น มันก็จะไม่ได้อะไร แต่คำว่า “สาธุ” นั้นก็ไม่จำเป็นต้องออกเสียงหรือไม่จำเป็นต้องยกมือไหว้ก็ได้ เพียงแต่เอา
ใจที่ยินดีทำก็เกิดผลบุญได้เลย
การแสดงความยินดีกับคุณงามความดีหรือความสำเร็จของผู้อื่นเป็นคุณธรรมของพระพรหมก็คือ “มุทิตา” เป็นตัวหนึ่งใน พรห
มวิหาร 4 ซึ่งเป็นบุญใหญ่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา” ถ้าก่อนตายจิตผ่องใส ก็ไปสู่สุคติ หมา
ยถึง สวรรค์ ก็ได้ พรหมก็ได้ นิพพานก็ได้ สุดแล้วแต่กำลังใจของเรา
การโมทนาบุญนั้นพึ่งเข้าใจว่าเป็นการทำให้จิตใจชุ่มชื่นใจ เขาทำดีเรายินดีด้วย ยินดีกับความดีของเขาไม่ช้าตัวของเราเอ
งก็อยากจะทำความดีตามเขาบ้างเพราะเราเห็นเขาดีเราก็ชอบ เป็นการสร้างพื้นฐานพลังแห่งบุญให้เกิดขึ้นในจิตด้วยตัวเ
องและเป็นจุดเริ่มต้นในการขวนขวายสร้างคุณงามความดีอื่นๆ ต่อไป
สิ่งที่พึงระมัดระวังในการโมทนาบุญก็คือ “ความอิจฉาริษยา” นั้นเป็นตัวทำลายบุญประเภทนี้อย่างแรงกล้า ประเภทที่ว่าก
ลัวคนอื่นจะได้บุญมากกว่าเรา หรือคิดไปเองว่าบุญเราจะหมด เราอุตส่าห์ทำมาอย่ามาแย่งบุญของฉัน ฉันไม่ให้หรอก
เมื่อใดที่จิตคิดเช่นนี้จิตก็จะปรากฏความเศร้าหมองทำให้บุญที่เราทำมีผลย่อหย่อนลงไป และทำให้เราไม่ได้กุศลจากการโ
มทนาบุญของผู้ขอโมทนาบุญจากเราเลย จึงควรวางกำลังใจและอธิฐานจิตเราเมื่อมีผู้ขอโมทนาบุญจากเราเสมอว่า
” ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ให้กับท่านทั้งหลายที่ขอโมทนาบุญกับเราในทุกครั้งทุกโอกาส ไม่ว่าเราจะทำ
ในอดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี และที่จะบำเพ็ญต่อไปในอนาคตก็ดี ที่เราได้ทราบก็ดี ไม่ทราบก็ดี จะเป็น มนุษย์หรือเทพพร
หม เทวา พญานาค ก็ดี ที่มีกายเนื้อก็ดี ไม่มีกายเนื้อก็ดี ขอให้เขาเหล่านี้ จงประสพแต่ความสุขพ้นจากความทุกข์พ้
นภัยจากวัฏสงสาร สัมผัสพระนิพพานอันเป็นบรมสุขด้วยเทอญ”